เที่ยวตามเส้นทางทะลุเมฆ เขาค้อ ภูทับเบิก ภูหินร่องกล้า และภูลมโล
เขาค้อ ภูทับเบิก ภูหินร่องกล้า และภูลมโล เป็นสถานที่ท่องเที่ยวความงดงามของขุนเขา ทะเลหมอก และดอกไม้ แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาล





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก chanomworld
เพราะการเดินทางเป็นเสมือนพลังใจ แรงบันดาลใจของใครบางคน ไม่ว่าจะได้เดินทางไปไหน ขึ้นเหนือ ลงใต้ ไปต่างประเทศ จะไปเมื่อไหร่ สถานที่เดิมหรือไม่ แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าเดินทางท่องเที่ยวแล้ว ความตื่นเต้น ท้าทาย ภาพความทรงจำเก่า ๆ มักจะตามติดมาด้วยเสมอ ก็คงเหมือนกับบันทึกการเดินทางภาพถ่ายของ คุณชานมชงเอง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางตามแบบฉบับของเขาออกมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ โดยเฉพาะเส้นทางทะลุเมฆ ณ เขาค้อ ภูทับเบิก ภูหินร่องกล้า และภูลมโล ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็งดงามเหลือเกิน อ๊ะ ๆ อยากรู้ไหมว่าจะสวยงามขนาดไหน ตามไปชมกันเลยค่ะ






ถ้าความพิเศษของชีวิต คือ
การได้ทำอะไรในแบบที่เราชอบ และได้ทำอะไรในแบบที่เราอยากทำ
มันคงเหมือนกับการเดินทางที่บอกว่าความพิเศษต้องเป็นอะไรบางอย่าง
บางอย่างทีบอกว่ามันพิเศษ
ความพิเศษที่เป็นความหมายที่บอกถึงความรู้สึกที่ดี
เป็นความหมายที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เป็นความหมายหมายที่บอกว่ามันท้าทาย
หรือจะเป็นบางอย่างที่บอกว่ามันมหัศจรรย์สำหรับความทรงจำแบบนั้น
จากเสียงสะท้อนอะไรบางอย่างที่บอกว่า ผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ
ททท. หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวในแบบฉบับของ "ชานมชงเอง"
มาไขความลับว่าความพิเศษแบบนั้นมันคืออะไร ? ทำไมมันถึงพิเศษ
ทำไมมันถึงต้องรู้สึกดี ทำไมถึงต้องตื่นเต้น ทำไมต้องท้าทาย
และทำไมต้องมหัศจรรย์
ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ๆ ว่ารีวิวนี้จะทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแบบนั้น จนนึกไม่ถึงว่านี่คือที่เดิม ๆ ที่ที่เคยรู้จัก ที่เดิม ๆ ที่เราเคยได้เห็น หรือได้เคยผ่านไป...
ป.ล. ข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมเขาค้อ พิษณุโลก >> www.facebook.com/GreenSeasonFunAll
ส่วนอันนี้เป็นเพจของผมครับ เรื่องเล่าของขุนเขา&ทะเลหมอก >>> เฟซบุ๊ก chanomworld


ความพิเศษเริ่มต้นจากวันนั้น ๆ วันที่ผมได้รู้จักกับเส้นทางแห่งขุนเขา และเส้นทางแห่งทะเลหมอก มันเริ่มต้นจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ วิ่งผ่านตัวเมืองขึ้นมาประมาณ 13 กิโลเมตรถึงแยกนางั่ว เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 2258 เส้นทางนางั่ว-เขาค้อ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน 2196 ผ่านจุดชมวิวที่วัดกองเนียม และขึ้นจุดสูงสุดของเขาค้อที่อนุสรณ์ผู้เสียสละเขาค้อ แล้วลงมาผ่านจุดชมวิวเขาค้อที่ทำการไปรษณีย์เขาค้อ แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังแคมป์สน เลี้ยวซ้ายไปราว ๆ 12 กิโลเมตร ผ่านจุดชมวิวริมถนน บนรอยต่อจังหวัดพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ แล้ววิ่งย้อนกลับมาที่เขาค้อผ่านวัดผาซ่อนแก้ว และจุดชมวิวตลอดทางถนนสาย 12 และขึ้นภูทับเบิก แวะจุดชมวิวเขาแผงม้า มุ่งหน้าไป อช.ภูหินร่องกล้า ขากลับแวะเข้าบ้านร่องกล้าขึ้นภูลมโล และมาพักที่ภูทับเบิก

และจากเส้นทางหลายร้อยเส้นทางที่เคยรู้จัก กับอีกหนึ่งความทรงจำของการเดินทาง ที่สะท้อนมุมหนึ่งของชีวิตที่ยังคงความรู้สึกทีดีอยู่เสมอ กับอีกหนึ่งเส้นทางต่อจากนี้

ผมยังจำได้ดีกับทะเลหมอกในเช้าวันนั้น อีกหนึ่งวันที่ความพิเศษของถนนสายนี้เริ่มทำงานกับตัวผม และถ้านี่คือความพิเศษ ผมบอกได้เลยว่ามันคือจุดเริ่มต้นของวงแหวนทะเลหมอกนับต่อจากนี้ จุดชมวิวตรงวัดกองเนียมตรงอยู่ริมถนนสาย 2196 อยู่ใกล้ ๆ กับหอสมุดแห่งชาติ หรืออยู่เยื้องกับทางขึ้นอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ มันเป็นทะเลหมอกที่ชวนฝันสุด ๆ ในวันที่อากาศเป็นใจ

ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นความบังเอิญแค่ไหนที่ผมได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ คงเพราะผมชอบขับรถ และตอนที่ได้ขับรถผมก็มักจะมีความสุขกับการได้เห็นวิวและบรรยากาศสองข้างทางเสมอ และที่นี่เองก็เป็นความพิเศษเริ่มต้นที่ผมบังเอิญได้เห็นมันในเช้าวันนั้น

ผมใช้เวลาที่นี่อยู่พักใหญ่ ๆ เพื่อเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของอะไรบางอย่าง บางอย่างที่บอกว่าแรงบันดาลใจของผมคืออะไร และผมต้องทำอะไรนับต่อจากนี้


ผมนั่งมองดูวิวแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันเหมือนเป็นภาพที่มีแสงและเงาที่สะท้อนมุมมองอะไรมากมาย มุมมองบางอย่างที่บอกถึงตัวเลขให้ได้นึกถึง กับการเดินทางผ่านถนนสายนี้ 20 ครั้งในรอบ 3 ปีครึ่ง

3 ปีครึ่งที่บอกอะไรหลาย ๆ อย่าง อย่างน้อยผมก็รู้จักที่นี่ "อนุสรณ์ผู้เสียสละเขาค้อ" มันคือจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเขาค้อ จุดชมวิวที่ทำให้โลกใบนี้ของผมพิเศษเสมอ

มันเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามที่สุดของเขาค้อ แสงจากขอบฟ้าในจุดที่สูงที่สุด กำลังทำให้ความหนาวเย็นในวันนั้นค่อย ๆ หายไปทีละนิด

อุ่นของไอแดดที่ทำให้บางอย่างค่อย ๆ เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้เราจะไม่เคยมา ทะเลหมอกสีขาว สีที่บอกถึงแรงบันดาลในการเดินทางของชีวิตผม


จากจุดเล็ก ๆ ในวันนั้นเมื่อ 3 ปีก่อน ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะยังไง แต่พอผ่านมาถึงวันนี้และได้มองย้อนกลับไป ผมถึงได้มั่นใจว่ามันคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมไม่เคยหยุดนิ่ง

ผมขับรถลงมาจากอนุสรณ์ผู้เสียสละเขาค้อ ก็มาถึงจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยที่สุดของเขาค้อ นั่นก็คือ ด้านหลังของที่ทำการไปรษณีย์เขาค้อ จุดนี้จะเห็นทะเลหมอกได้มุมสวยที่สุด

ทะเลหมอกของที่นี่ คือ ปลายทางของทุก ๆ ทริปที่ผมมาเขาค้อ มาแล้วมาอีก !!! เวลาเห็นทะเลหมอกแล้วผมรู้สึกยังไงนะหรือ ? มันให้ความรู้สึกเหมือนของขวัญ ที่ครั้งหนึ่งมันได้ทำให้ใครหลายคนได้เปลี่ยนแปลงในมุมมองของการใช้ชีวิตมากขึ้น


ทุกครั้งที่ผมมาพักที่เขาค้อ ผมมักเลือกบ้านพักรอบจุดชมวิวทะเลหมอกที่เป็นบ้านส่วนตัว มีระเบียงบ้านที่สามารถกำหนดพื้นที่ส่วนตัวในการดูทะเลหมอกได้จากบ้านพัก และที่นี่เราจะได้เห็นที่พักและรีสอร์ทเกิดขึ้นมากมายจนเลือกพักไม่ถูกเลย


เขาค้อในวันที่อากาศดี ๆ ลมไม่แรงมาก และอากาศหนาว ๆ มักจะได้เห็นทะเลหมอกลอยต่ำผ่านภูเขาค่อย ๆ เลื้อยผ่านไปต่อหน้าต่อตา เขาค้อจึงเป็นสถานที่ที่พิเศษอีกที่หนึ่งที่ผมมักนึกก่อนที่อื่นอยู่เสมอ

จากจุดชมวิวกลางเขาค้อผมมุ่งหน้าขึ้นไปยังตำบลแคมป์สน ผ่านแยกแคมป์สนเลี้ยวซ้ายไปทางพิษณุโลก เส้นทางนี้จะมีจุดชมวิวร้านกาแฟมากมายให้ได้เลือกผ่อนคล้าย ๆ กัน แต่สำหรับผมมันคือที่นี่ จุดชมวิวริมข้างทาง

จากแยกแคมป์สนมาถึงตรงนี้ก็ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวทะเลหมอกที่พิเศษมาก ๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าในการเดินทางครั้งนั้นจะได้เห็นบรรยากาศดี ๆ แบบนี้ "มันคือทะเลหมอกแห่งความรัก"




ผมขับรถเข้าไปทางขึ้นวัดผาซ่อนแก้ว เส้นทางนี้ทางชันแต่รถเก๋งสามารถขึ้นไปชมวิวได้ เป็นอีกวันที่ผมคว้ามาได้ อาจดูเหมือนว่าเป็นความทรงจำรูปแบบใหม่ ๆ ที่ซ้อนทับความทรงจำรูปแบบเดิม แต่ผมเชื่อเสมอว่าทุก ๆ ครั้งที่ตัดสินใจมาที่นี่ จะต้องมีรายละเอียดอะไรสักอย่างที่กระทบเข้าในจิตใจผม


วัดผาซ่อนแก้วในมุมมองที่ผมได้เห็นต่อหน้าอยู่ตรงนี้ ทำให้ผมคิดอยู่ตลอดว่าไปตั้งสิบกว่าครั้งเพิ่งได้เห็นอะไรสุดโต่งแบบนี้ก็ครั้งนี้...แล้วมันคืออะไร ?

และถ้าภาพใบนี้จะมีชื่อของมัน ผมจะตั้งชื่อภาพนี้ว่า ภาพแห่งความพยายาม ผมไขว่คว้ามาก ๆ ที่จะมาเห็นบรรยากาศแบบนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พยายามมากี่ครั้งก็ไม่เคยเจอ แต่สุดท้ายผมก็กลับมาอีกครั้ง

มาเพื่อให้ได้รู้ว่าความพยายามกับแรงบันดาลใจไม่เคยไม่ได้ผล...กับวัดผาซ่อนแก้วที่สวยที่สุดในความทรงจำของผม มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ดีมาก ๆ วันที่ความพยายาม ความรัก แรงศรัทธา และอะไรหลาย ๆ อย่างได้มาอยู่รวมกันในสถานที่เดียวกัน

จากวัดผาซ่อนแก้วเรามุ่งหน้าขับรถเข้าสู่ถนนสาย 12 และขับรถลงไปทางหล่มสัก ถนนสายนี้เป็นถนนที่สวยที่สุดอีกสายหนึ่งของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ และถ้าเราโชคดีเราจะได้เห็นแบบนี้


ตรงนี้เป็นจุดชมวิวร้านคืนชีวิตให้แผ่นดิน เป็นจุดชมวิวเล็ก ๆ ที่ทำให้หัวใจเต้นแรงทุก ๆ ที มันเป็นทะเลหมอกที่บอกว่าใครรักมัน มันรักใคร และใครควรจะได้เห็น !!!


และนี่อาจจะเป็นภาพจำที่บอกว่าเราหรือใคร จะไม่พลาดจุดชมวิวริมถนนสายนี้...ถนนสาย 12

และตอนนี้เองที่ผมต้องเริ่มนับ 1 ใหม่อีกครั้ง บนถนนสายทะลุเมฆในเดือนธันวาคม 2556 ผมนึกไม่ออกว่าผมจะเจอทะเลหมอกหน้าหนาวในบรรยากาศที่ลมแรงและอากาศแห้งได้ยังไง แต่นั้นก็คือโจทย์ที่ผมได้รับกับมุมมองทับเบิก-ลานปุ่มหิน ในแบบทะลุเมฆในเดือนนี้


ภูทับเบิกในความทรงจำของผมอยู่ช่วงฤดูฝน ตั้งแต่พฤษภาคมไปจนถึงกันยายนของทุกปี เพราะทะเลหมอกในหน้าฝนมีแบบให้ได้ลุ้น และได้เห็นแทบจะทุก ๆ วัน


ผมยังจำภูทับเบิกปีก่อนได้เลยในเดือนปลายเดือนตุลาคม หลังจากฝนหายไปพักใหญ่ วันนั้นก็ไม่มีทะเลหมอก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีลม มีแต่แสงอุ่น ๆ ที่ทำให้อะไรบางอย่างค่อย ๆ หายไป


ผมเลยต้องคิดหนักว่าถ้าจะไปภูทับเบิกช่วงฤดูหนาวในเดือนธันวาคม มันจะยังไงดี ? ผมจะได้เห็นทะเลหมอกไหม ? ถ้าไม่ได้เห็นมันจะเป็นความรู้สึกแบบไหน ?


ผมรวบรวมข้อมูลการเกิดทะเลหมอกในเดือนธันวาคมของภูทับเบิกและภูหินร่องกล้า จากประวัติการรีวิวต่าง ๆ และข้อมูลการท่องเที่ยวในยูทูบที่มีคนเห็นทะเลหมอกในเดือนธันวาคม แต่มีอัตราการได้เห็นน้อยมาก แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็นเมื่อเทียบกับช่วง 3-4 ปีก่อน


ผมได้ติดต่อมาถามเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่ภูหินร่องกล้า+เจ้าหน้าที่ที่ภูทับเบิก เขาบอกว่าพอเข้าหน้าหนาวทะเลหมอกแทบไม่มีให้เห็นเลย เพราะอากาศจะแห้ง ๆ ลมแรง จะเห็นเป็นหมอกจาง ๆ แค่นั้น ถ้าอยากเห็นทะเลหมอกเยอะ ๆ ทะเลหมอกสวย ๆ ให้มาช่วงตอนหน้าฝนจะดีกว่า

หน้าฝนมันเกิดทะเลหมอกง่ายจริง ๆ ทะเลหมอกที่สามารถเห็นได้ตลอดวันตั้งแต่เช้าจนเย็น บางทีฝนตกตอนบ่ายปุ๊บทะเลหมอกก็ขึ้นปั๊บ


ผมรู้สึกจะยังไงดี ถ้ามาไม่เจอทะเหมอก มันรู้สึกมันไม่ใช่ มันไม่ใช่แนวผม ผมเริ่มติดตามเพจภูทับเบิกดูการอัพเดทรายวัน เริ่มติดตามพยากรณ์อากาศรายวัน แล้วก็มีคำพยากรณ์ที่บอกว่าช่วงวันที่ 13-16 ธันวาคม จะเกิดฝนตกทั่วภาคเหนือ 70% ของพื้นที่

ผมก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือโอกาสที่ผมจะได้ทำอะไรบางอย่างกับ 70% ที่ผมได้ยินมา ไม่มีแผนตายตัว ฝนตกตอนไหนก็ไปตอนนั้น ผมวางแผนไว้ว่าวันที่ควรไปน่าจะเป็นวันที่ 15-16 ธันวาคม เพื่อให้ทุกอย่างลงตัวในแบบที่ผมคาดหวังมากขึ้น นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายในรอบปีที่ฝนจะตกในกลางเดือนธันวาคม เดือนที่หนาวที่สุดของประเทศไทย !!!!

ผมออกเดินทางจากบ้านตอน 1 ทุ่ม วิ่งรวดเดียวไปนอนเพชรบูรณ์ตอน 5 ทุ่ม แล้วก็หาที่พักนอนที่นั้น นอนไม่กี่ชั่วโมงผมก็เริ่มต้นขับรถอีกครั้งตอนตี 4 เพราะแผนที่วางไว้ คือ จะต้องไปถึงภูทับเบิกตอนตีห้าครึ่ง เพราะถ้าเช้านี้ที่ภูทับเบิกมีทะเลหมอกผมจะเที่ยวเล่นที่นี่ก่อน แต่ถ้าไม่มีทะเลหมอกผมจะเลยไปภูหินร่องกล้าทันที เพื่อเพิ่มโอกาสการเจอทะเลหมอกในสองที่นี่ สุดท้ายผมก็ได้ทำตามแผน เพราะเช้านี้ภูทับเบิกไม่มีทะเลหมอก !!!



ผมมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าตอนเกือบ 6 โมงครึ่ง เราทำเวลาได้ดีมาก ๆ เลย วันนี้อากาศหนาวมาก...หนาวจนผมลืมไปเลยว่าผมต้องรีบไปที่ลานปุ่มหินเพื่อดูทะเลหมอก


ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย, อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 191,875 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2527 เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติแปลกตาและสวยงาม ทั้งยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ เป็นยุทธภูมิที่สำคัญในอดีต ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ภูหินร่องกล้ามีลักษณะภูมิอากาศคล้ายกับภูเขาสูงของจังหวัดเลย เช่น ภูกระดึง และภูเรือ เนื่องจากมีความสูงในระดับไล่เลี่ยกัน อากาศจะหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาว อุณหภูมิจะต่ำประมาณ 4 องศาเซลเซียส แม้ในฤดูร้อนอากาศก็ยังเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ ทางด้านประวัติศาสตร์ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์การสู้รบ โรงเรียนการเมืองการทหาร กังหันน้ำ สำนักอำนาจรัฐ โรงพยาบาลรัฐ ลานอเนกประสงค์ สุสาน ทปท. ที่หลบภัยทางอากาศ หมู่บ้านมวลชน


กำลังเดินเพลินราว ๆ 2-3 กิโลเมตรนิด ๆ เดินลุยป่าไปตามทางเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยโขดหิน ผมก็มาถึงจุดชมวิวแรก นั่นก็คือ ลานปุ่มหินครั้งแรกในชีวิตของผม


มันน่าเศร้าพอตัวที่วันนี้ไม่มีทะเลหมอก แต่ก็ไม่ผิดแผนมากเพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีทะเลหมอกมาเดือนกว่าแล้ว ถ้าอยากเห็นทะเลหมอกให้มาตอนหน้าฝนจะเห็นได้แทบทุกวัน

ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ 2 ชั่วโมง ก็ย้ายไปอีกจุดชมวิวอีกด้านหนึ่ง ซึ่งไม่ห่างกันเยอะ นั่นก็คือ ผาชูธง




ผาชูธงในตำนานที่ผมเคยเห็นมาหลายภาพ หลายต่อหลายรีวิว ตอนนี้อยู่ต่อหน้าผม ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าวันนี้มีทะเลหมอกมันจะสวยแค่ไหน ?

ผาชูธง อยู่ห่างจากลานหินปุ่มประมาณ 500 เมตร เป็นหน้าผาสูงชัน สามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล จะสวยงามมากในยามพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ซึ่ง ผกค. ขึ้นไปชูธงแดงรูปค้อนเคียวทุกครั้งที่รบชนะฝ่ายรัฐบาล

แล้วสักพักก็รู้สึกฟ้าเริ่มแปลก ๆ เหมือนบางอย่างกำลังก่อตัว บางอย่างที่บอกว่าผมควรมาวันที่ 15-16 ธันวาคม บางอย่างที่บอกว่ามันอาจจะเป็นไปได้ในความเป็นไปไม่ได้ก็ได้นะ...แต่สุดท้ายก็ได้แค่นี้


ผมคงรอให้ถึงหน้าฝนไม่ไหว...ผมกลับไปที่ทำการอุทยานฯ อีกครั้ง เข้าไปซื้อโปสการ์ดปึกหนึ่งเป็นคอลเลคชั่นเซตทะเลหมอก พร้อม ๆ กับเสียงเล็ก ๆ ที่ดังในใจว่าหน้าฝนเจอกัน



ผมขับรถออกจาก อช.ภูหินร่องกล้า กลับมาทางเดิม ขับมาได้ 6 กิโลเมตร ก็มาถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายไปภูทับเบิก ตรงไปไปหมู่บ้านร่องกล้า ให้ตรงเข้าไปที่บ้านร่องกล้า เข้าเข้ามาแป๊บเดียวก็มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว จากหมู่บ้านร่องกล้าไปยังภูลมโล ระยะทาง 6 กิโลเมตร เป็นทางดินลูกรัง ชันและแคบ ต้องใช้รถ 4WD ขับเคลื่อนสี่ล้อหรือรถกระบะเท่านั้น ติดต่อรถนำเที่ยวขึ้นไปชมซากุระเมืองไทยได้ที่ กลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านร่องกล้า คุณป๋อ 08 7838 0195 คุณเน้ง 08 9959 5808 ค่าเช่ารถอยู่ที่คันละ 600 บาท นั่งได้ 6-10 คน



ภูลมโล ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า บนรอยต่อของ 3 จังหวัด คือ เลย เพชรบูรณ์ พิษณุโลก ซึ่งภูลมโลได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งมากที่สุดในเมืองไทย ณ ปัจจุบันเป็นจำนวนกว่าแสนต้น ในพื้นที่กว่า 1,200 ไร่


หลังจากตะลุยทางแบบไม่ค่อยดี มีเหวี่ยงซ้ายคลุกคลิกกันในรถแล้ว ก็มาถึงดงนางพญาเสือโคร่ง ตอนเห็นครั้งแรกแบบเยอะมาก ปลูกเป็นไร่ ๆ เลย เคยเห็นที่ไหนว่าสวยแล้ว แต่ที่นี่ยิ่งใหญ่มาก



นางพญาเสือโคร่งสีชมพูมันเป็นความภาคภูมิใจของที่นี่นะครับ และตอนนี้มันก็พร้อมมาก พร้อมที่จะแสดงให้ทุกคนในโลกใบนี้ได้เห็นว่ามันงดงามแค่ไหน ?

หลังจากผ่านทุ่งนางพญาเสื่อโคร่งทุ่งแรกที่ใหญ่มาก ผมก็มาถึงจุดชมวิวภูลมโล ทั้งที่แดดจ้า แดดแรง แต่รู้สึกไม่ร้อนเลย เพราะลมที่นี่แรงมาก หนาวมากจนตัวสั่นเลย










ยิ่งใหญ่จนผมคิดว่าถ้าเป็นฤดูฝนมันจะสวยงามแค่ไหน มันจะทำให้ผมหลงรักได้สุดใจแค่ไหน แค่นึกภาพทะเลหมอกหลังจากที่ฝนตก หรือทะเลหมอกในตอนเช้ามันจะสวยขนาดไหน ?


ปล่อยให้จินตนาการลอยไปลอยมาบนภูลมโลอยู่ 3 ชั่วโมง ผมก็หลุดออกมาจากที่นั่น เพื่อมุ่งหน้าไปพักค้างคืนที่เขาค้อ ตอนนี้ผมเริ่มถอดใจว่ามันจะเป็นรีวิวทะลุเมฆได้ยังไงนะ แต่ระหว่างทางรอยต่อที่จะถึงภูทับเบิก ผมก็ได้เห็นอะไรบางอย่างของที่นี่...มันกำลังเริ่มต้น


มันคือจุดชมวิวเขาแผงม้าที่อยู่บนพื้นที่ของ อช.ภูหินร่องกล้า ถ้าขึ้นมาจากภูทับเบิกเข้ามาทางภูหินร่องกล้า จะอยู่ห่างจากป้อมตรวจ 300 เมตร และต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 300 เมตร


มันเป็นเวลาบ่าย 3 โมง ที่หมอกหรือเมฆก็ไม่รู้ที่มันลอยต่ำมาก ๆ เนื่องจากอุณหภูมิตอนนี้ลดลงไวมาก ทำให้ตัวผมกับมันอยู่ในระนาบเดียวกัน จนทำให้ผมรู้สึกมันมาแล้ว แบบฉบับทะลุเมฆในมุมมองของผม


มันเป็นบรรยากาศที่บอกว่าถ้าไม่ได้เห็นทะเลหมอกในวันพรุ่งนี้เช้าก็ไม่เป็นไร แบบนี้ก็ทะลุเมฆ ทะลุหมอกได้แล้ว แต่ลึก ๆ ผมก็หวังไว้ว่าฝนน่าจะตกเพื่อให้ผมได้เห็นอะไรบางอย่างในวันพรุ่งนี้เช้า


จากนั้นผมขับรถออกจากปากทางที่จอดรถ แล้วมุ่งหน้าออกมาที่ภูทับเบิก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตอนบ่าย ๆ แบบนี้เมฆจะลอยต่ำแบบนี้ได้ บรรยากาศมันแตกต่างกับที่ภูลมโลอย่างสิ้นเชิง


แล้วผมก็มุ่งหน้าไปทางบ้านทับเบิก เพื่อไปดูสวนดอกไม้เมืองหนาวภูทับเบิก อยู่ก่อนถึงวัดภูทับเบิก มีดอกไม้หลายชนิดให้ได้ชมกัน ^^ ป.ล. ค่าเข้าชมคนละ 50 บาท





ตอนนี้ผมก็รู้สึกเหนื่อยมากจากการเที่ยวทั้งวันแบบนี้ เลยหาที่พักในมุมสบาย ๆ แล้วก็เผลอหลับไปตั้งแต่ห้าโมงเย็น ตื่นมาอีกทีตอน 3 ทุ่ม เสียงลม เสียงพายุ และเสียงของฝนดังมาก มันดังจนทำให้ผมต้องตื่น และมีเหตุผลบางอย่างที่บอกว่ามันจะต้องไม่ผิดแผน มันจะต้องลงตัว และมันจะต้องดีที่สุดในแบบฉบับที่ผมอยากได้ แล้วผมก็ไม่ไหวนอนขดตัวแบบหนาว ๆ มาตื่นอีกทีก็ตอนเช้าเลย ! เช้านั้นหมอกฟุ้งกระจายจนผมมองไม่เห็นอะไรที่จุดชมวิวหลัก แต่มีชาวเขาคนหนึ่งบอกผมว่า ถ้าอยากเห็นทะเลหมอกอีกมุมให้ไปอีกด้านสิ...ด้านที่เรียกว่าภูสวรรค์


และมันก็เป็นภูสวรรค์จริง ๆ สวรรค์ที่อยู่บนภูนั้น บอกไม่ถูกว่ามันยิ่งใหญ่แค่ไหน ? บอกไม่ถูกว่ามันรู้สึกดีแค่ไหน บอกไม่ถูกว่ามันสวยแค่ไหน ?


แต่ผมรู้อยู่อย่างเดียวว่าหัวใจผมพองโตและตื่นเต้นมาก ๆ ในเช้าวันนั้น เช้าที่หลายคนบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่สุดท้ายความเป็นไปได้ก็เกิดกับตัวผม !!!

พูดถึงความเป็นไปได้ ถ้ามัวแต่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมคงมาทับเบิกตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่เพราะมีอะไรบางอย่างที่พยายามบอกว่ามันน่าจะเป็นไปได้ และผมก็เชื่อมันซะด้วย !!!

ความเป็นไปได้ก่อนมาทับเบิก หนึ่งวันก่อนมาผมก็ป่วย ดูเหมือนป่วยหนักไม่สบายเป็นไข้หวัดรุนแรง แต่ผมก็ไม่อยากจะพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ผมวางแผนไว้ 15-16 ธันวาคม 2556 และนี่ละมั้งความพิเศษในแบบที่มันเป็นไปได้ แม้ร่างกายผมจะไม่ดีเท่าเท่าไหร่นัก


ผมใช้เวลาในตอนนี้อย่างเต็มที่ เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของทะเลหมอกที่ผมเคยเห็นแล้วเห็นอีกในปีนี้ถึง 3 ครั้ง และไม่มีครั้งไหนที่ผมเบื่อเลย รู้สึกดี รู้สึกตื่นเต้นทุก ๆ ครั้ง...ถ้ามันมีชีวิต มันก็เหมือนชีวิตของผม


ชีวิตที่รักการเดินทาง ชีวิตที่รักที่จะทำอะไรในแบบที่ผมชอบ แม้บางทีจะออกแบบอะไรได้ไม่มากนัก แต่ผมก็เต็มที่กับมัน แม้บางทีจะไปไม่ถึงไหน แต่ผมรู้ว่าผมจะเข้าใกล้ให้ถึงมันได้มากที่สุดได้อย่างไร ?

บางครั้งอาจจะต้องทำการบ้านมากหน่อย หลายครั้งที่ต้องคิดอะไรเพิ่มขึ้นไปอีก อาจจะต้องเหนื่อยหน่อย หรือทำอะไรที่ไม่เหมือนใคร แต่นั่นแหละที่ผมเรียกมันว่าความพิเศษ

ความพิเศษที่จะส่งต่ออะไรบางอย่าง ที่หมายถึงการได้ทำอะไรในแบบที่เราชอบ

ความพิเศษที่หมายถึงความรู้สึกบางอย่าง ที่บอกว่าเรากำลังรู้สึกดี


หรือจะเป็นความหมายที่ถามเรากลับว่าอะไรคือสิ่งที่น่าตื่นเต้นหรือท้าทาย

และถ้าใครสักคนได้นั่งตรงแคร่ไม้ไผ่แบบนี้ มันน่าเสียวไหม ? ลองคิดตอนที่กำลังจะร่วงตกลงไป แบบนี้จะเรียกว่าตื่นเต้นพอไหม ?

นึกไม่ออกเลยว่าใครกันที่สร้างทางเลื้อย ๆ โค้ง ๆ ชัน ๆ ให้เราได้ขับรถไต่ขึ้นมา แบบนี้มันท้าทายกว่าไหม ถ้าไม่มีถนนหรือเป็นถนนแต่ไม่ได้ลาดยาง ?


หรือถ้าต้องมาที่นี่ด้วยการโรยตัวจากเครื่องบินแล้วกระโดดร่มลงมา มันจะเป็นความรู้สึกมหัศจรรย์หรือเปล่านะ ?

อีกหนึ่งเส้นทางที่ไม่ต้องคิดอะไรให้ลำบาก ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากและซับซ้อนขนาดนั้น แค่นี้ความรู้สึกดี ๆ ก็เกิดขึ้นได้แล้ว ไอ้ความรู้สึกดีนี่แหละที่กำลังจะทำให้ความตื่นเต้นหลาย ๆอย่างค่อย ๆ เติบโตขึ้น มันอาจจะค่อย ๆ โตทีละนิด แต่ผมเชื่อว่ามันจะเติบโตในแบบของมัน เส้นทางทะลุหมอกและรอยต่อบางอย่างของเส้นทางทะลุเมฆที่กำลังรอการท้าทายจากใครก็ตาม ไม่ว่าจะเคยมาที่นี่กี่ครั้ง จะหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง หรือสิบกว่าครั้งแบบผมก็ตาม มันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับความรู้สึกตอนที่บอกว่าเราจะได้เห็นอะไร หรือไม่ได้เห็นอะไร


และบางทีการที่เราไม่ได้เห็นอะไรมากนักในเส้นทางสายนี้ นั่นก็อาจเป็นความพิเศษอีกแบบหนึ่ง ที่เป็นเหตุผลของอะไรบางอย่างที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ และไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ถนนสายนี้...ถนนแห่งทะเลหมอก เส้นทางทะลุเมฆและสวนดอกไม้สีชมพูก็จะยังคงทำงานต่อไป

และสิ่งต่าง ๆ ในโลกใบนี้มีมุมมอง และความรู้สึกในแบบที่เราคาดหวังแตกต่างกันไปตามวัน เวลา หรือโอกาส สิ่งสำคัญที่ผมรู้สึกได้เลยจากการเดินทางมาตลอด 3-4 ปี ที่วนเวียนอยู่บนถนนสายนี้หลายสิบครั้ง มันเติมเต็มอะไรบางอย่างให้ชีวิตผมได้มากจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกดี ๆ ของชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสุขของการพักผ่อน ความตื่นเต้นของการเดินทาง และความมหัศจรรย์ต่าง ๆ บนเส้นทางท่องเที่ยวสายนี้


ภูเขาที่ผมเรียกได้เต็มปากว่าภูเขา ทะเลหมอกที่เรียกได้หมดใจว่าทะเลหมอก และอีกหลายอย่างที่บอกได้ไม่หมด หลายอย่างที่เข้ามาอยู่ในความทรงจำของผม อาจจะเป็นสิ่งที่ผมได้เห็น ได้รู้สึก ได้สัมผัส ทุก ๆ อย่างมันเป็นความทรงจำที่บางทีเราอยากได้แต่ไม่ได้ บางอย่างไม่ได้อยากได้แต่ก็ได้มาบ่อย ๆ บนถนนท่องเที่ยวสายนี้ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่พิเศษที่จะยังคงสะท้อนอยู่ในตัวของผม ที่บอกว่าครั้งหนึ่งเราเคยผ่านมาแต่ไม่เคยผ่านไป อีกหนึ่งเส้นทางแห่งขุนเขาและสายหมอกขาว...เส้นทางทะลุเมฆ…ในแบบฉบับของผม

https://www.facebook.com/chanomworld
http://pantip.com/profile/569090
Chanomworld* world of wonder
Photo by chanomniks : word by chanomworld*


คุณกำลังดู: เที่ยวตามเส้นทางทะลุเมฆ เขาค้อ ภูทับเบิก ภูหินร่องกล้า และภูลมโล
หมวดหมู่: ภูเขา
แชร์ข่าว